Friday, August 31, 2018

มาทำความรู้จักกับ AI (Artificial Intelligence) ในฐานะผู้บริโภคกัน

เป็นผู้บริโภคยุคนี้ ต้องตื่นรู้กันหน่อยนะคะ ไม่ต้องถึงกับบรรลุธรรม แต่ต้องรู้ทันเทคโนโลยีกันหน่อย แม้เราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับการทำธุรกิจ แต่ชีวิตเราทุกวันนี้มีธุรกิจอยู่รอบล้อมตัวเราและเห็นเราเป็น....อะไรดีล่ะ..คิดแบบดาร์คๆ ก็คงจะบอกว่า เป็นเหยื่ออันโอชะ ..คิดแบบโลกสวยดูดี.. ก็ต้องเรียกว่า เป็นลูกค้า และลูกค้าก็คือพระเจ้า.อย่างที่นักการตลาดเขาชอบพูดกัน
แต่จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ผู้บริโภคคือลูกค้าของแบรนด์หรือองค์กร และแบรนด์หรือองค์กรสมัยนี้ก็พยายามหาวิธี "เจาะใจ" หรือ "เดาใจ" หรือทายใจ หรือพยายามทำความเข้าใจ และพยายามมาเป็นคน "รู้ใจ" เราให้ได้ เขาจะรักเราหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่เขาจะพยายาม เดาใจ เจาะใจ ทำความเข้าใจ เรายิ่งกว่าแฟนอีกค่ะ แน่ละ แม้เราจะไม่รู้จักกันแต่หากเขาเข้าใจพฤติกรรมเรา ชนะใจเรา ก็เข้าทางเขาและเราก็จะเป็นลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ไปโดยปริยาย

หนึ่งในกลวิธีที่องค์กรพยายามจะมาเจาะใจเราให้ได้คือ การตรวจจับ สังเกตสังกาหาแนวทางความประพฤติของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมในการใช้สื่อออนไลน์ทั้งหลายแหล่ ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บ ทางโซเชี่ยล มีเดีย ทางแอพพลิเคชั่น หรือทางไหนก็แล้วแต่ที่ผ่านมือเรา โดยเฉพาะมือถือนี่ตัวดีเลย อย่าคิดว่าข้อมูลอยู่ในมือเรา มือถือของเราคือเรื่องส่วนตัวของเรา ใครเขาจะมาเอาไปไม่ได้ คิดผิดคิดใหม่และตื่นรู้กันได้แล้วค่ะ

วิธีการที่องค์กรกำลังนำมาใช้ สอดส่องและสำรวจพฤติกรรมเชิงดิจิตัลคือ เทคโนโลยี ที่เรียกว่า AI หรือ Artificial Intelligence หรือเรียกภาษาไทยสวยๆ ว่าปัญญาประดิษฐ์นั่นเองค่ะ

จากการไปร่วมฟังเสวนามาหลายๆ ที่ ขอสรุปให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า....

เวลานี้องค์กรหลายๆ กำลังใช้ AI เทคโนโลยีเข้ามาแอบแฝงสำรวจพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา แอบสอดส่องดูว่า เรากำลังทำอะไร เวลาไหน คุยกับใคร สนใจอะไร ดูเนื้อหาอะไร ชอบซื้อของแบบไหน ทำธุรกรรมกับใคร ใช้ชีวิตอย่างไร ชอบไปไหน ชอบกินอะไร ชอบอยู่กับใคร ฯลฯ

ค่ะ เรื่องของเราที่เราคิดว่าเป็นความลับ จึงไม่ลับอีกต่อไปแล้ว แม้คนรอบตัวเราอาจไม่รู้ แต่พระเจ้า AI เขารู้ค่ะ ..ถามว่าเขารู้จากอะไร ก็จากการที่เราใช้ชีวิตผูกพันเกี่ยวข้องกับโลกออนไลน์ แบบแยกขาดจากกันไม่ได้อย่างทุกวันนี้ไง ผ่านคอมพิวเตอร์ เข้าอินเตอร์เนต ผ่านโทรศัพท์มือถือ ผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ นั่นไง
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ AI รุกคืบเข้ามามีบทบาทในชีวิตยุคดิจิตัลของเราและจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะองค์กรกำลังพยายามนำเอา AI มาสอดส่องเราอยู่ทุกขณะจิต ตามติดชีวิตกันทุกฝีเก้า แค่พกพามือถือติดตัวเราไว้ เขาก็รู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน

ถามว่า เราจำเป็นจะต้องกลัวหรือไม่ ไม่จำเป็นนะคะ เพียงแต่ต้องติดอาวุธทางปัญญา รู้เท่าให้ทันโลกดิจิตัล ตั้งรับพร้อมกับปรับตัวตามมันไปค่ะ แล้วใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ให้ดี ใช้ให้เป็น เราก็เป็นนาย ใช้ไม่เป็นเราก็ตกเป็นทาส เหมือนการใช้เครดิตการ์ด ถ้าเราใช้เป็นเราก็ได้ส่วนลด เอาแต้มไปแลกของมาใช้ได้อีก แต่ถ้าใช้ไม่เป็นเราก็เป็นหนี้ วิธีคิดมันก็ง่ายๆ แค่นี้เอง

มองในแง่ดี การเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้ทำให้ชีวิตเราสะดวกง่ายดายขึ้นในหลายๆ อย่าง อย่างเช่นการทำธุรกรรมกับธนาคาร เดี่ยวนี้เราทำได้ด้วยแอพพลิเคชั่นบนมือถือ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปที่สาขาของธนาคาร เราสามารถซื้อของได้ โดยไม่ต้องชำระด้วยเงินสดและไม่จำเป็นต้องไปที่ร้าน เราแค่นั่งใช้เงินอยู่กับบ้าน และจากที่ที่เราอยู่เราก็สามารถติดต่อกับเพื่อนที่อยู่คนละฟากโลก ราวกับอยู่ข้างบ้าน

แล้วเราจะอยู่อย่างรู้เท่าทันเทคโนโลยี และโลกของการเจาะข้อมูลนี้ได้อย่างไร ก็แค่เพิ่่มความระมัดระวังในการใช้สักหน่อย ข้อมูลส่วนตัวอะไร โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเงินส่วนบุคคล อย่าไปแชร์ อย่าไปใส่ ก่อนจะทำอะไร อ่านให้ถ้วนถี่ก่อน อย่างการเล่นเกมบนออนไลน์ ที่มาถามก่อนว่า จะเล่นเกมนี้ แล้วเขาขออนุญาตเข้าถึง (access) ข้อมูลสารพัดสิ่ง ก็อย่าไปเล่นค่ะ เป็นการป้องกันตัวเองไว้ในเบื้องต้นก่อน แต่ถ้าป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ แล้วมีเกิดมีปัญหาโดนแฮ็กข้อมูลให้เดือดร้อนกันอีก เห็นทีต้องเช็คดวง แล้วก็ตัวใครตัวมันล่ะค่า

ขอให้โชคดี ใช้ชีวิตในโลกยุุคดิจิตัลอย่างเท่าทันกันนะคะ

สวัสดี..:)

Thursday, August 2, 2018

อยุธยาไม่รู้จบ..ค้นพบวัดเก่าแห่งใหม่ที่ไม่ใช่ยอดนิยม แต่น่าไปชมสักคราว


2 สิงหาคม 2561
#Leisure #อยุธยาในหนึ่งวัน 

ไปอยุธยาแต่ละครั้ง ได้เจออะไรใหม่ๆ สำหรับตัวเองทุกครั้งสิน่า ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เช่นเคย ด้วยความระยะทางไม่ไกลนัก ทริปอยุธยาของเราจึงไม่เคยเริ่มต้นแต่เช้าตรู่ ออกจากชานกรุงเทพกันตอนสายๆ จนเกือบจะบ่ายอยู่แล้ว

กำหนดจุดหมายสำคัญคือตามรอยคนอื่นเค้าไป...ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะอยุธยายังมีอะไรให้ค้นหาแบบไม่รู้จบ นี่เป็นฉบับสำหรับคนที่ไปแล้ว ไปอีก ก็ยังไปไม่ค่อยซ้ำที่ เฉพาะวัดก็มีเป็นร้อยๆ วัด เที่ยววันละวัดทั้งปี ก็ไม่มีหมดกันล่ะ

วัดมเหยงค์

ในปัจจุบัน วัดมเหยงค์ ได้ชื่อว่าเป็นวัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม เป็นวัดที่นิยมไปกันมาก อาจเพราะสถานที่ที่มีความสัปปายะ คือมีความสบายที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม มีความกว้างใหญ่ไพศาล แต่ว่าก็สะอาด ร่มรื่น และสงบดี อีกทั้งมีการจัดระเบียบที่ดีมาก เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง แม้จะรู้สึกได้ว่าคนเยอะ แต่จะไม่รู้สึกแออัดมากเกินไปนัก ทุนคนสามารถมีที่ปฏิบัติธรรมเป็นของตนเองได้ ในช่วงวันเข้าพรรษานี้ มีนักปฏิบัติธรรมไปกันมากเลยทีเดียว แต่นักท่องเที่ยวที่อยากจะเพียงไปเยือนโบราณสถาน ก็ยังสามารถไปได้ ด้วยความที่เป็นวัดมีพื้นที่กว้างใหญ่ บริเวณที่คนไปปฏิบัติธรรมกับบริเวณโบราณสภานของวัดจึงแยกกันค่อนข้างจะชัดเจน

ในความเป็นวัดโบราณ ดูจากซากปรักหักพังต่างๆ แล้วอย่างคนที่ไม่รู้อะไรมาก ก็คาดเดาว่าวัดมเหยงค์แห่งนี้ ถือว่าเป็นวัดที่ใหญ่และสำคัญมากพอสมควร มีเจดีย์องค์ใหญ่ๆ รายล้อมรอบพระอุโบสถ สวยงาม บางคนที่อาจจะมีเซนส์อะไรพิเศษบอกว่า สถานที่แห่งนี้มีพลังงานที่ดีมาก และบางคนก็มีอาการขนลุกท่ามกลางอากาศที่ร้อนพอสมควรได้เหมือนกัน

สำหรับข้อมูลความเป็นมาที่น่าสนใจของ วัดมเหยงค์ 





วัดแม่นางปลื้ม
สำหรับคนที่เพิ่งได้ไปเยือน ต้องบอกเลยว่า วัดนี้มีพระพุทธรูปหลวงพ่อขาวที่สวย สงบ งดงาม พระพักตร์ยิ้ม อิ่มเอิบ ให้ความรู้สึกที่ทำให้เราสงบอย่างประหลาด สยบ นิ่งได้ทันทีที่มองทะลุผ่านเสาต่างๆ เข้าไปเห็นองค์หลวงพ่อขาวที่เป็นพระประธานอุโบสถ จะรู้สึกสงบ เย็นใจอย่างประหลาดเลยทีเดียว








วัดโลกยสุธาราม

สำหรับผู้ไปเยือนหน้าใหม่อย่างเรา ต้องบอกว่ารู้สึกเขลามาก ที่ไม่เคยรู้จักวัดโลกยสุธารามนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ไปอยุธยามาหลายครั้งมาก และเป็นอีกที่ที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปชมองค์พระนอนที่วัดแห่งนี้

แม้ว่าองค์พระในปัจจุบันจะตั้งอยู่กลางแจ้งท้าแดดท้าลม เนื่องมาจากตัววิหารคงถูกทำลายไปนานแล้ว แต่ทว่าลักษณะใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ผ่องใส ราวกับท่านยิ้มให้อย่างเมตตา และขนาดอันใหญ่โตนั้นก็ดูสง่างามมาก นึกจินตนาการว่าในสมัยที่อยุธยายังเรืองรองนั้น วัดนี้จะต้องมีพื้นที่ใหญ่โตกว้างขวางและมีความสำคัญไม่น้อย

วัดโลกยสุธาราม จึงเป็นอีกสถานที่แห่งหนึ่งในอยุธยาที่น่าไปเยือนไม่แพ้ที่อื่นใด





Tuesday, July 24, 2018

บทเรียนจากหมูป่าอะคาเดมี

25/7/61

วันนี้ น้องๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมีเข้าพิธีบรรพชา และอุปสมบทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในฐานะที่เฝ้าตามข่าวมาพอสมควรก็ต้องขออนุโมทนาในกุศลจิตนี้ด้วย 

ถ้าเป็นภาพยนต์ ก็นับว่าเรื่องนี้จบได้สวย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจริงๆ ด้วย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ให้บทเรียนสอนใจได้มากมาย สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีน้องๆ ทีมหมูป่าฯ นั้นจาระไนได้ไม่หมด แต่สำหรับตัวเองก็ขอย่นย่อสิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้บ้างว่า..

1. ชีวิตเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แม้จะวางแผนทุกอย่างไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในชีวิตได้ตลอดเวลา

2. เมื่ออยู่ในภาวะวิกฤติ ตั้งสติไว้ให้มั่น ทำอารมณ์ให้มั่นคง ดำรงไว้ซึงความหวัง

3. ก่อนจะหวังพึ่งผู้อื่น พยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มที่ก่อน

4. ผู้นำที่ดีต้องมีความอ่อนโยน เสียสละ แต่เข้มแข็ง.. เด็ดเดี่ยว เด็ดขาด แต่ต้องฉลาดด้วย

5. ผู้นำที่ดีก็ต้องมีที่ปรึกษาที่ดีด้วย

ุ6. จงเชื่อมั่นในพลังแห่งสมาธิ ผู้มีสมาธิจิตดี ย่อมมีสติเมื่อเกิดภัย

7. Law of attraction กฎแห่งแรงดึงดูด สิ่งที่ดีงามย่อมดึงดูดสิ่งที่ดีงาม

8. คนดีและความดีมีอยู่ทั่วทุกที แต่บางทีเราก็ไม่ต้องไปเสาะแสวงหา แค่รู้จักว่าจะแยกแยะได้อย่างไร 

9. วิกฤติไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป ชีวิตก็เริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง

ขอบคุณน้องๆ หมูป่าอะคาเดมี กับบทเรียนดีๆ ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน


Monday, July 23, 2018

หมูป่า อะคาเดมี...กรณีศึกษา “พลังแห่งสมาธิ”

ผ่านพ้นไปด้วยดีแบบแฮปปี้ เอนดิ้ง สุดๆ กับการช่วยเหลือทีมฟุตบอลเยาวชนตัวน้อย 13 คนที่รู้จักกันว่าทีมหมูป่า อะคาเดมี ออกมาได้อย่างปลอดภัยแทบจะไร้ที่รอยมลทิน..เวลานี้กระแสข่าวเริ่มจะสร่างซาไปบ้างแล้ว และอีกไม่นาน เรื่องราวของน้องๆ หมูป่า ก็จะคงจะเป็นเรื่องในตำนานของมนุษย์โลกไปอีกเรื่องหนึ่ง ที่คงจะถูกหยิบยกมาพูดถึงบ้างเป็นครั้งคราว 

เวลาเก้าวันเก้าคืนนั้น ในการมีชีวิตที่ปกติธรรมดาอาจจะแสนสั้น แต่ระยะเวลาที่เท่าๆ กันของการติดอยู่ในถ้ำอันมืดมิดร้างไร้ผู้คน อาหาร หรือแม้แต่แสงสว่างนั้นจะทำให้รู้สึกยาวนาน สภาพการณ์ดังกล่าวอาจจะทำให้คนทั่วๆ แม้แต่ผู้ใหญ่ก็คงเกิดความหวาดกลัว หวั่นไหว สะเทือนขวัญ สิ้นหวัง หมดกำลังใจ ท้อแท้ ป้อแป้ และปวกเปียกเอาได้โดยง่าย แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือสภาวการณ์ดังกล่าวดูเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กๆ เหล่านี้ หรือส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างที่ผู้คนต่างพากันพะวงมากนัก 

ตรงกันข้าม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้คนทั่วโลกคือ เด็กๆ ทุกคนดูเข้มแข้ง มีกำลังใจอันดี มีสติเต็มเปี่ยม และแววตาสดใส มีความหวัง แม้ร่างกายจะดูซูบผอมไปบ้าง แต่พวกเขารักษาตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ สร้างความโล่งใจกับทุกคนทั่วโลกที่เฝ้าส่งกำลังใจให้ทุกทิศทาง

สิ่งหนึ่งทุกคนได้รับทราบคือการที่โค้ชเอก เอกพล จันทะวงษ์ หัวหน้าทีมหมูป่า เป็นผู้ที่ฝึกฝนและเรียนรู้การทำสมาธิมาเป็นเวลานาน และเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างเชื่อกันว่า "พลังแห่งสมาธิ" เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ในภาวะคับขันที่สุดของชีวิต

เผชิญหน้ากับความกลัวอย่างมีสติ

ความวิตก กังวล และความหวาดกลัว อาจเกิดขึ้นได้ในทุกชั่วขณะ โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติที่มีชีวิตเป็นเดิมพันนั้น ความกลัวนั้นดูจะตัวใหญ่มากสำหรับคนทั่วๆ ไป แต่อะไรล่ะที่ทำให้เด็กๆ เหล่านี้ ดูสงบนิ่ง มีสติ ไม่ตื่นตูมได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศต่างก็ให้ความสนใจในประเด็นนี้และแสดงความเชื่อมั่นอยู่ไม่น้อยว่าสมาธิมีส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเขามีสติและปัญญาสามารถรับมือกับภาวะวิกฤติได้อย่างสงบเกินความคาดหมาย  

เราต่างก็เคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วว่าสมาธินั้นมีประโยชน์มากมายทั้งต่อร่างกายและจิตใจ เช่นทำให้บรรเทาความเครียด ทำให้หลับสบายคลายกังวล ทำให้สมองและปัญญาดี ทำให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน 

นอกจากนี้ยังมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และจากการทดลองกับบุคคลต่างๆ ต่างก็ยืนยันว่าสมาธิให้ผลดีดังกล่าวจริงๆ 

หากถ้ำเหมือนความดำมืดในจิตใจ สมาธิเหมือนดวงไฟให้ความสว่าง

ขณะที่ความพยายามช่วยเหลือเด็กๆ ที่ติดอยู่ภายในถ้ำดำเนินการไปในหลากหลายรูปแบบ อีกกระแสข่าวหนึ่งก็มีว่าไว้เกี่ยวกับความเชื่อโบราณและตำนานอันยาวนานของถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน

ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะไม่อาจพิสูจน์ได้ แต่ความน่ากลัวของสภาพภายในถ้ำ ที่ทีมกู้ภัยได้พบปะเจอะเจอนั้น และเล่าออกมานั้นจริงแท้แน่นอน ความมืดมนอนธการภายในถ้ำหลวงสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้คนที่ถูกขังอยู่ได้ฉันใด ความมืดบอดในใจที่ถูกห่อหุ้มด้วยกิเลสแห่งราคา โทสะ โมหะ ก็ห่อหุ้มใจให้มืดมนได้เฉกเช่นเดียวกัน

พลังแห่งสมาธิเหมือนแสงสว่างที่เกิดขึ้น ณ กลางใจ ในวันอันมืดมิด แม้ปัจจัยภายนอกดูมืดมน ไร้หนทาง แต่ภายในใจของเด็กๆ กับสว่างไสว การให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกของน้องๆ แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความร่าเริงแจ่มใส ความสงบมีสติ จิตใจอันเข้มแข็ง ปราศจากความวิตกกังวล แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านวิกฤติของชีวิตโดยมีผู้คนทั่วโลกเป็นประจักษ์พยานก็ตาม

แต่นอกเหนือจากประโยชน์อันมากมายมหาศาลดังกล่าว หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร หรือหลวงพ่อธรรมมงคลญาณ เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล และผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ อบรมหลักสูตรสมาธิแก่บุคคลทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2540 นั้นได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่าจุดประสงค์ของการฝึกสมาธิแท้จริงแล้วนั้น คือ “การสะสมพลังจิต” ผู้ที่ฝึกสมาธิอยู่เป็นประจำจะมีพลังจิตที่เก็บสะสมไว้ ซึ่งสามารถเป็นพลังที่มาช่วยเหลือในยามคับขันได้ นักศึกษาหลักสูตรครูสมาธิ จะได้ฟังหลวงพ่อเน้นย้ำในเรื่องจุดประสงค์การทำสมาธิเพื่อสะสมพลังจิตอยู่บ่อยๆ  

กรณีของทีมหมูป่าอะคาเดมี จึงอาจนับได้ว่าเป็นกรณีศึกษาของพลังแห่งสมาธิที่สร้างปรากฎการณ์อันน่าตื่นตะลึงต่อสายตาชาวโลกโดยทั่วกัน  คุณลักษณะอย่างยิ่งของสมาธิคือ ช่วยให้เรามี “สติ” อยู่กับปัจจุบัน ไม่ห่วงหาอดีต ไม่กังวลถึงอนาคต เผชิญหน้ากับความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ได้โดยไม่แทรกแซง สติ ที่จะอยู่กับปัจจุบัน อาจจะเกิดขึ้นได้ยากในภาวะอันวิกฤติที่ฉุกเฉิน หากคนผู้นั้นไม่เคยได้เรียนรู้การทำสมาธิมาก่อน และที่สำคัญพลังจิตที่สะสมไว้นี้ ยังเป็นสิ่งที่สั่งสมได้ข้ามภพข้ามชาติ เป็นพลังที่ไม่สูญสลายหายไป แม้ร่างกายจะดับสูญไปแล้ว ตามความเชื่อของพุทธศาสนานั้นคนเราเวียนว่ายตายเกิดมานับครั้งไม่ถ้วนในสังสารวัฏนี้ การฝึกสมาธิจึงเป็นการสั่งสมพลังจิตและสร้างกุศลผลบุญเป็นสมบัติติดตัวไปได้ในทุกที่ 

ยังไม่สายเกินไป ที่จะเรียนรู้วิชาสมาธิ

จริงๆ แล้วการฝึกสมาธินั้น ไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงของพุทธศาสนิกชนเท่านั้น สมาธิเป็นเรื่องที่คนทุกชาติศาสนาสามารถนำหลักการไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคม และสามารถปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาจิตใจและทำให้รู้สึกถึงความสงบสุขจากภายใน และความจริงแล้ว สมาธิมีรายละเอียดปลีกย่อยที่น่าเรียนรู้มากกว่าการกำหนดจิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น แต่มีข้อควรรู้อีกมากมายที่น่่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง 

สถาบันพลังจิตตานุภาพ
สำหรับผู้ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาสมาธิ เพื่อพัฒนาสติในชีวิตประจำวัน ขอแนะนำหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพ ที่กำลังเปิดรับสมัครรับนักศึกษารุ่น 43 อยู่ในเวลานี้ ซึ่งผู้สนใจสามารถเลือกสาชาที่ท่านสะดวกได้ทั่วประเทศ และท่านจะได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของพลังแห่งสมาธิด้วยตนเอง  

โชคดีทุกท่านค่ะ 

ข้อมูลอ้างอิง เพิ่มเติม




Sunday, April 29, 2018

หนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดยพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร)

"ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวัตรปฏิบัติและชีวิตของพระธุดงค์เป็นอย่างไร หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้เรื่องการผจญภัยทั้งในทางโลกและทางธรรม ของหลวงปู่มั่น บรมครูผู้ถ่ายทอดวิชากัมมัฏฐาน (กรรมฐาน) ให้พระสายวัดป่าหลายต่อหลายองค์ที่เป็นที่นับถือศรัทธาทั่วฟ้าเมืองไทย  ไม่ว่าจะเป็นหลวงตามหาบัว หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  หลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อลี  หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร และท่านอื่นๆ อีกมากมาย"

ได้อ่านหนังสือ ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เขียนโดยพระธรรมมงคลญาณหรือพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร (ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล) อ่านในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์และในฐานะที่ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ที่มีผลงานการทำงานเพื่อพุทธศาสนามายาวนานตลอดชีวิตของท่าน


หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก ชื่อว่า "ใต้สามัญสำนึก" เป็นการเล่าปูพรมในช่วงแรกที่หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระอาจารย์คนแรก คือพระอาจารย์กงมา ผู้ที่พาออกเดินทางด้วยเท้าหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อไปหาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (หลวงปู่มั่น) ส่วนตอนที่สองก็เป็น "ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ" และเหตุการณ์สำคัญๆที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้บันทึกไว้จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์มั่น และทั้งที่หลวงพ่อได้ประสบด้วยตนเองในระหว่างที่เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดพระอาจารย์มั่นอยู่ 4 ปีระหว่างปี 2485 - 2488

แค่ได้อ่านเพียงช่วงต้นปูพรมของเรื่องในตอน "ใต้สามัญสำนึก" บันทึกการเดินทางของอาจารย์และลูกศิษย์ซึ่งต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆมากมายกว่าหลวงพ่อจะได้ไปพบพระอาจารย์มั่นนั้นก็สนุกสนานจนแทบวางไม่ลง อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนได้ดูหนัง หรือเสพหนังสือดีๆ อีกเรื่อง ที่ชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นเรื่อง และเมื่อติดตามอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นพัฒนาการของเรื่องราวที่เป็นชีวประวัติของบุคคลที่เป็นเนื้อนาบุญ ในพุทธศาสนา อ่านสนุก อ่านดี อ่านมีสาระ อ่านแล้วยิ่งรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในครูบาอาจารย์ของอาจารย์ขึ้นมาอีกมาก

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ปัจจุบันอายุ 99 ปี และยังเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลนั้น นับว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงและเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยก่อนหน้าที่ท่านจะได้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ มาก่อน และพระอาจารย์กงมาท่านนี้เองที่เป็นผู้นำพาท่านหลวงพ่อวิริยังค์เดิน "ธุดงค์มาราธอน" เดินเท้าข้ามป่าข้ามเขาหลายร้อยกิโลเมตร เพื่อไปหาและฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น

เรื่องราวความศรัทธา พากเพียร มุ่งมั่น ตลอดจนการเสี่ยงภัยในฐานะพระธุดงค์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น คนรุ่นหลังอย่างเราอาจจะไม่เคยรู้จักหรือมีโอกาสได้สัมผัส แต่หนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตนี้มีเรื่องเล่าครบรส ของพระเถระผู้เป็นครูบาอาจารย์สองท่านที่มีจริยวัตรอันงดงาม จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากในสมัยที่ท่านยังดำรงธาตุขันธุ์อยู่ 

หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าพระธุดงค์นั้นท่านมีวัตรปฏิบัติอย่างไร เนื้อเรื่องที่เรียบเรียงขึ้นมาจากการบันทึกความทรงจำนั้นราวกับได้อ่านเรื่องราวการผจญภัยของนักเดินทางก็มิปาน และการผจญภัยนี้ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยเรื่องราวสนุกสนานในทางโลกอย่างที่เรารู้จัก เช่นเกร็ดความรู้ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมืองและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อของผู้คนของแต่ละท้องที่ที่ท่านธุดงค์ผ่านไป แต่ยังมีคำสอนจากพระอาจารย์ที่หยิบยกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการธุดงค์มาราธอนมาสอนธรรมะไปด้วยพร้อมๆ กัน ทำให้เราเข้าใจจุดมุ่งหมายและความหมายในความเป็นพระที่แท้ ที่หาได้ยากในปัจจุบัน

นอกจากเรื่องราวผจญภัยระหว่างการเดินธุดงค์มาราธอนของอาจารย์และศิษย์ที่แม้ยากลำบากบนหนทางไกล และประสบการณ์ในฐานะลูกศิษย์ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นที่มีชื่อเสียงในฐานะพระผู้มีวินัยเข้มงวดและเคร่งครัดอย่างใกล้ชิดมานานหลายปี แต่ท่านก็เล่าด้วยภาษาที่เปี่ยมอารมณ์ขัน สำนวนชวนให้ติดตาม ถือได้ว่าหลวงพ่อวิริยังค์นั้น มีความสามารถในการเป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักจดบันทึก นักสังเกตุการณ์ และนักเล่าเรื่อง ชั้นบรมครูผู้มีวิริยะอุตสาหะ และยังเปี่ยมด้วยเมตตาและมีทัศคติที่ดีเลิศ และแม้บันทึกนี้จะเกิดขึ้นมานานแล้ว ภาษาที่ใช้นั้น ก็ยังมีความสดใหม่ทันสมัย และเรื่องราวในชีวิตจริงของพระธุดงค์ก็มีความร่วมสมัยที่คนในสมัยใหม่จะทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก

หนังสือ ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตจึงเป็นหนังสืออัตชีวประวัติของบุคคลสำคัญที่เป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเลื่อมใส มีเนื้อหาร่วมสมัยผู้ใหญ่อ่านได้ วัยรุ่นอ่านดี อ่านแล้วจะได้อรรถรสและเบิกบานในธรรมกันได้ทุกคน หากใครเป็นลูกศิษย์ลูกหาก็น่าจะได้ซื้อหามาอ่านกันให้ถ้วนหนา ให้สมกับที่มีวาสนาที่เป็นศิษย์ร่วมครูบาอาจารย์ท่านเดียวกัน แม้ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ลูกหาก็สามารถอ่านเพื่อสาระประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมได้อย่างเต็มที่

กราบนมัสการพระอาจารย์ ..สาธุ สาธุ สาธุ
Jeeruna Jarunee
นักศึกษาหลักสูตรครูสมาธิ รุ่น 42 
เมย. 2561

“Stadium One” ศูนย์รวมค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาและกิจกรรมไลฟ์สไตล์ครบวงจร ครั้งแรกของเมืองไทยและในอาเซียน



            คนไทยฟิตจัด ธุรกิจสุขภาพมาแรง เดอะ สปอร์ต โซไซตี้ทุ่ม 300 ล้าน ผุดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของคนรักกีฬา  “Stadium One” โชว์ความยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เชื่อมต่อสนามศุภฯ-อุทยานจุฬาฯ 100 ปี อัดกิจกรรมทุกสัปดาห์ คาดลูกค้านับหมื่นคนต่อวัน ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งครบครันตัวจริงของคนรักสุขภาพ
           
นายพงศ์วรรธน์  ติยะพรไชย ผู้บริหารโครงการ Stadium One  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับสัมปทานจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการก่อสร้างและบริหารโครงการ Stadium One  บนที่ดิน 10 ไร่ บริเวณหลังสนามกีฬาแห่งชาติ (สนามศุภชลาศัย) โดยจะใช้งบประมาณการลงทุนราว 300 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารคอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ ภายใต้แนวความคิด “Stadium of Life” ศูนย์รวมค้าปลีกกีฬาและไลฟ์สไตล์ของคนรักการออกกำลังกายที่ครบวงจร ครั้งแรกของเมืองไทยและในอาเซียน (Bangkok’s First Sport Retail and Active Lifestyle)
            โครงการ Stadium One ตั้งอยู่บนถนนพระราม 1 ตัดกับถนนบรรทัดทอง ใกล้กับสนามกีฬาแห่งชาติ และสนามฟุตบอลเทพหัสดิน เชื่อมต่อกับพื้นที่อุทยานจุฬาฯ 100 ปี  สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 30 ไร่  ปอดแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ ภายในโครงการประกอบด้วยร้านค้าปลีก 129 ร้าน พื้นที่ค้าปลีก 5,000 ตารางเมตร แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนของร้านค้าปลีก (Sport Retail) และส่วนของศูนย์บริการการออกกำลังกายและการจัดกิจกรรม  (Active Lifestyle)
             นายพงศ์วรรธน์  กล่าวว่า Stadium One จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายผู้รักการออกกำลังกาย รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่มองหาสินค้า อุปกรณ์กีฬาที่ครบวงจร และจะเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรมด้านกีฬาของประเทศไทย ซึ่งโครงการได้เตรียมความพร้อมและความสะดวกไว้รองรับ ทั้งด้านพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับสนามกีฬาและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (มีบริการรถรับ-ส่งในจุฬาฯ) อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับย่านช้อปปิ้งใจกลางเมืองอันเป็นที่นิยมของคนไทยและชาวต่างชาติ 
            ในโครงการยังมีความสะดวกต่างๆให้บริการ อาทิ ล็อกเกอร์ ห้องอาบน้ำ รวมทั้งลานจอดรถที่รองรับได้ประมาณ 150 คันในบริเวณโครงการ และสามารถจอดรถในระยะ 200 เมตรรอบโครงการ ประมาณ 1,000 คัน นอกจากนั้นยังสะดวกด้วยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ลงสถานีสนามกีฬา ใช้เวลาเดินเพียง 3 นาที ในระยะไม่เกิน 300 เมตรจากสถานี
            ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาจองพื้นที่ในโครงการ Stadium One แล้ว 40% หลังจากนี้จะทำการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น คาดว่าจะส่งผลถึงอัตราการจองที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ในส่วนของอัตราค่าเช่าเริ่มต้นที่ 350 บาทต่อตารางเมตร โดยรายได้หลักของ Stadium One จะมาจากค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีก 90% อีก 10% มาจาก สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ โดยจะมีบริษัทที่เข้ามารับสัมปทานดูแลในส่วนนี้ รวมทั้งรายได้จากการจัดกิจกรรมที่จะช่วยสร้างความคึกคักให้กับ Stadium One ตลอดทั้งปี
            บริษัทฯ ได้เจรจากับพันธมิตรรายใหญ่ในการเข้ามาใช้พื้นที่อาทิ วอริกซ์ สปอร์ต , ช้างศึกเมกะสโตร์ , แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาไทยต่างๆ สำนักงานสมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) , แบรนด์รองเท้ากีฬา แบรนด์จักรยาน รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มธุรกิจโลจิสติก เพื่อรองรับการขนส่งพัสดุในอนาคต นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรที่ต้องการใช้พื้นที่จัดกิจกรรมขอจองพื้นที่ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

            นายพงศ์วรรธน์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพของคนไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายของคนไทยมูลค่า 1.1 แสนล้านบาท ในปี 2555 เพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านในปี 2558 ตัวเลขผู้เข้าร่วมกิจกรรมกรุงเทพมาราธอนเพิ่มจาก 3,000-4,000 คนในอดีต เป็น 30,000-40,000 คนในปัจจุบัน จำนวนนักปั่นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และยังคงมีผู้ที่รักสุขภาพและมองหาสถานที่ออกกำลังกายมากขึ้น โครงการ Stadium One จึงเป็นทางโครงการที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี นับเป็น  Sport Destination เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างแท้จริง สนใจจองพื้นที่ ติดต่อสำนักงานขาย โทร  097-031-1222 หรือEmail : sales@stadiumone.net และดูรายละเอียดโครงการได้ที่ Website : http://stadiumone.net/