Sunday, April 29, 2018

หนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โดยพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร)

"ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวัตรปฏิบัติและชีวิตของพระธุดงค์เป็นอย่างไร หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้เรื่องการผจญภัยทั้งในทางโลกและทางธรรม ของหลวงปู่มั่น บรมครูผู้ถ่ายทอดวิชากัมมัฏฐาน (กรรมฐาน) ให้พระสายวัดป่าหลายต่อหลายองค์ที่เป็นที่นับถือศรัทธาทั่วฟ้าเมืองไทย  ไม่ว่าจะเป็นหลวงตามหาบัว หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  หลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อลี  หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร และท่านอื่นๆ อีกมากมาย"

ได้อ่านหนังสือ ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เขียนโดยพระธรรมมงคลญาณหรือพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร (ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล) อ่านในฐานะที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์และในฐานะที่ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ที่มีผลงานการทำงานเพื่อพุทธศาสนามายาวนานตลอดชีวิตของท่าน


หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก ชื่อว่า "ใต้สามัญสำนึก" เป็นการเล่าปูพรมในช่วงแรกที่หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์อยู่กับพระอาจารย์คนแรก คือพระอาจารย์กงมา ผู้ที่พาออกเดินทางด้วยเท้าหลายร้อยกิโลเมตรเพื่อไปหาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (หลวงปู่มั่น) ส่วนตอนที่สองก็เป็น "ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ" และเหตุการณ์สำคัญๆที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้บันทึกไว้จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์มั่น และทั้งที่หลวงพ่อได้ประสบด้วยตนเองในระหว่างที่เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดพระอาจารย์มั่นอยู่ 4 ปีระหว่างปี 2485 - 2488

แค่ได้อ่านเพียงช่วงต้นปูพรมของเรื่องในตอน "ใต้สามัญสำนึก" บันทึกการเดินทางของอาจารย์และลูกศิษย์ซึ่งต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆมากมายกว่าหลวงพ่อจะได้ไปพบพระอาจารย์มั่นนั้นก็สนุกสนานจนแทบวางไม่ลง อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว มีความรู้สึกเหมือนได้ดูหนัง หรือเสพหนังสือดีๆ อีกเรื่อง ที่ชวนให้ติดตามตั้งแต่ต้นเรื่อง และเมื่อติดตามอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็นพัฒนาการของเรื่องราวที่เป็นชีวประวัติของบุคคลที่เป็นเนื้อนาบุญ ในพุทธศาสนา อ่านสนุก อ่านดี อ่านมีสาระ อ่านแล้วยิ่งรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในครูบาอาจารย์ของอาจารย์ขึ้นมาอีกมาก

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ปัจจุบันอายุ 99 ปี และยังเป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคลนั้น นับว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงและเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยก่อนหน้าที่ท่านจะได้ไปเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ มาก่อน และพระอาจารย์กงมาท่านนี้เองที่เป็นผู้นำพาท่านหลวงพ่อวิริยังค์เดิน "ธุดงค์มาราธอน" เดินเท้าข้ามป่าข้ามเขาหลายร้อยกิโลเมตร เพื่อไปหาและฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น

เรื่องราวความศรัทธา พากเพียร มุ่งมั่น ตลอดจนการเสี่ยงภัยในฐานะพระธุดงค์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้น คนรุ่นหลังอย่างเราอาจจะไม่เคยรู้จักหรือมีโอกาสได้สัมผัส แต่หนังสือประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตนี้มีเรื่องเล่าครบรส ของพระเถระผู้เป็นครูบาอาจารย์สองท่านที่มีจริยวัตรอันงดงาม จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธามากในสมัยที่ท่านยังดำรงธาตุขันธุ์อยู่ 

หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าพระธุดงค์นั้นท่านมีวัตรปฏิบัติอย่างไร เนื้อเรื่องที่เรียบเรียงขึ้นมาจากการบันทึกความทรงจำนั้นราวกับได้อ่านเรื่องราวการผจญภัยของนักเดินทางก็มิปาน และการผจญภัยนี้ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยเรื่องราวสนุกสนานในทางโลกอย่างที่เรารู้จัก เช่นเกร็ดความรู้ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมืองและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อของผู้คนของแต่ละท้องที่ที่ท่านธุดงค์ผ่านไป แต่ยังมีคำสอนจากพระอาจารย์ที่หยิบยกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการธุดงค์มาราธอนมาสอนธรรมะไปด้วยพร้อมๆ กัน ทำให้เราเข้าใจจุดมุ่งหมายและความหมายในความเป็นพระที่แท้ ที่หาได้ยากในปัจจุบัน

นอกจากเรื่องราวผจญภัยระหว่างการเดินธุดงค์มาราธอนของอาจารย์และศิษย์ที่แม้ยากลำบากบนหนทางไกล และประสบการณ์ในฐานะลูกศิษย์ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นที่มีชื่อเสียงในฐานะพระผู้มีวินัยเข้มงวดและเคร่งครัดอย่างใกล้ชิดมานานหลายปี แต่ท่านก็เล่าด้วยภาษาที่เปี่ยมอารมณ์ขัน สำนวนชวนให้ติดตาม ถือได้ว่าหลวงพ่อวิริยังค์นั้น มีความสามารถในการเป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักจดบันทึก นักสังเกตุการณ์ และนักเล่าเรื่อง ชั้นบรมครูผู้มีวิริยะอุตสาหะ และยังเปี่ยมด้วยเมตตาและมีทัศคติที่ดีเลิศ และแม้บันทึกนี้จะเกิดขึ้นมานานแล้ว ภาษาที่ใช้นั้น ก็ยังมีความสดใหม่ทันสมัย และเรื่องราวในชีวิตจริงของพระธุดงค์ก็มีความร่วมสมัยที่คนในสมัยใหม่จะทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก

หนังสือ ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตจึงเป็นหนังสืออัตชีวประวัติของบุคคลสำคัญที่เป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเลื่อมใส มีเนื้อหาร่วมสมัยผู้ใหญ่อ่านได้ วัยรุ่นอ่านดี อ่านแล้วจะได้อรรถรสและเบิกบานในธรรมกันได้ทุกคน หากใครเป็นลูกศิษย์ลูกหาก็น่าจะได้ซื้อหามาอ่านกันให้ถ้วนหนา ให้สมกับที่มีวาสนาที่เป็นศิษย์ร่วมครูบาอาจารย์ท่านเดียวกัน แม้ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ลูกหาก็สามารถอ่านเพื่อสาระประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมได้อย่างเต็มที่

กราบนมัสการพระอาจารย์ ..สาธุ สาธุ สาธุ
Jeeruna Jarunee
นักศึกษาหลักสูตรครูสมาธิ รุ่น 42 
เมย. 2561

“Stadium One” ศูนย์รวมค้าปลีกอุปกรณ์กีฬาและกิจกรรมไลฟ์สไตล์ครบวงจร ครั้งแรกของเมืองไทยและในอาเซียน



            คนไทยฟิตจัด ธุรกิจสุขภาพมาแรง เดอะ สปอร์ต โซไซตี้ทุ่ม 300 ล้าน ผุดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของคนรักกีฬา  “Stadium One” โชว์ความยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เชื่อมต่อสนามศุภฯ-อุทยานจุฬาฯ 100 ปี อัดกิจกรรมทุกสัปดาห์ คาดลูกค้านับหมื่นคนต่อวัน ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งครบครันตัวจริงของคนรักสุขภาพ
           
นายพงศ์วรรธน์  ติยะพรไชย ผู้บริหารโครงการ Stadium One  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับสัมปทานจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการก่อสร้างและบริหารโครงการ Stadium One  บนที่ดิน 10 ไร่ บริเวณหลังสนามกีฬาแห่งชาติ (สนามศุภชลาศัย) โดยจะใช้งบประมาณการลงทุนราว 300 ล้านบาท ในการก่อสร้างอาคารคอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ ภายใต้แนวความคิด “Stadium of Life” ศูนย์รวมค้าปลีกกีฬาและไลฟ์สไตล์ของคนรักการออกกำลังกายที่ครบวงจร ครั้งแรกของเมืองไทยและในอาเซียน (Bangkok’s First Sport Retail and Active Lifestyle)
            โครงการ Stadium One ตั้งอยู่บนถนนพระราม 1 ตัดกับถนนบรรทัดทอง ใกล้กับสนามกีฬาแห่งชาติ และสนามฟุตบอลเทพหัสดิน เชื่อมต่อกับพื้นที่อุทยานจุฬาฯ 100 ปี  สวนสาธารณะขนาดใหญ่กว่า 30 ไร่  ปอดแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ ภายในโครงการประกอบด้วยร้านค้าปลีก 129 ร้าน พื้นที่ค้าปลีก 5,000 ตารางเมตร แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนของร้านค้าปลีก (Sport Retail) และส่วนของศูนย์บริการการออกกำลังกายและการจัดกิจกรรม  (Active Lifestyle)
             นายพงศ์วรรธน์  กล่าวว่า Stadium One จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายผู้รักการออกกำลังกาย รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่มองหาสินค้า อุปกรณ์กีฬาที่ครบวงจร และจะเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรมด้านกีฬาของประเทศไทย ซึ่งโครงการได้เตรียมความพร้อมและความสะดวกไว้รองรับ ทั้งด้านพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับสนามกีฬาและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (มีบริการรถรับ-ส่งในจุฬาฯ) อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับย่านช้อปปิ้งใจกลางเมืองอันเป็นที่นิยมของคนไทยและชาวต่างชาติ 
            ในโครงการยังมีความสะดวกต่างๆให้บริการ อาทิ ล็อกเกอร์ ห้องอาบน้ำ รวมทั้งลานจอดรถที่รองรับได้ประมาณ 150 คันในบริเวณโครงการ และสามารถจอดรถในระยะ 200 เมตรรอบโครงการ ประมาณ 1,000 คัน นอกจากนั้นยังสะดวกด้วยการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ลงสถานีสนามกีฬา ใช้เวลาเดินเพียง 3 นาที ในระยะไม่เกิน 300 เมตรจากสถานี
            ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาจองพื้นที่ในโครงการ Stadium One แล้ว 40% หลังจากนี้จะทำการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น คาดว่าจะส่งผลถึงอัตราการจองที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ในส่วนของอัตราค่าเช่าเริ่มต้นที่ 350 บาทต่อตารางเมตร โดยรายได้หลักของ Stadium One จะมาจากค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีก 90% อีก 10% มาจาก สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ โดยจะมีบริษัทที่เข้ามารับสัมปทานดูแลในส่วนนี้ รวมทั้งรายได้จากการจัดกิจกรรมที่จะช่วยสร้างความคึกคักให้กับ Stadium One ตลอดทั้งปี
            บริษัทฯ ได้เจรจากับพันธมิตรรายใหญ่ในการเข้ามาใช้พื้นที่อาทิ วอริกซ์ สปอร์ต , ช้างศึกเมกะสโตร์ , แบรนด์เสื้อผ้ากีฬาไทยต่างๆ สำนักงานสมาพันธ์ชมรมเดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) , แบรนด์รองเท้ากีฬา แบรนด์จักรยาน รวมถึงอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่มธุรกิจโลจิสติก เพื่อรองรับการขนส่งพัสดุในอนาคต นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรที่ต้องการใช้พื้นที่จัดกิจกรรมขอจองพื้นที่ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว

            นายพงศ์วรรธน์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพของคนไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโตของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายของคนไทยมูลค่า 1.1 แสนล้านบาท ในปี 2555 เพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านในปี 2558 ตัวเลขผู้เข้าร่วมกิจกรรมกรุงเทพมาราธอนเพิ่มจาก 3,000-4,000 คนในอดีต เป็น 30,000-40,000 คนในปัจจุบัน จำนวนนักปั่นที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น และยังคงมีผู้ที่รักสุขภาพและมองหาสถานที่ออกกำลังกายมากขึ้น โครงการ Stadium One จึงเป็นทางโครงการที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี นับเป็น  Sport Destination เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างแท้จริง สนใจจองพื้นที่ ติดต่อสำนักงานขาย โทร  097-031-1222 หรือEmail : sales@stadiumone.net และดูรายละเอียดโครงการได้ที่ Website : http://stadiumone.net/